Sunday, 28 September 2008

Thursday, 4 September 2008

Chairs

ประวัติและวิวัฒนาการเก้าอี้สมัยโบราณ (ancient)

เก้าอี้สมัยอียิปต์โบราณ ได้ถูกสร้างและตกแต่งขึ้น จากแบบและวัสดุที่วิจิตรบรรจง เก้าอี้เหล่านี้ทำจากไม้มะเกลือ และงาช้าง ส่วนใหญ่ใช่เทคนิคการแกะ และปิดทอง หุ้มด้วยผ้าราคาแพง ส่วนขาเก้าอี้แกะให้มีรูปร่างคล้ายกับขาหลังของสัตว์ป่า หรือสัตว์ที่นำมาเลี้ยงไว้

จากหลักฐานที่ขุดค้นพบในเมืองนิเนวี (NINEVEH) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของจักรวรรดิอัสซีเรีย ปรากฏว่าได้มีการสร้างและการใช้เก้าอี้ไม่มีพนักในจักรวรรดินี้ เก้าอี้เหล่านี้จะมีขาเก้าอี้ที่แกะสลักปลายขาเป็นอุ้งเท้าสิงโต หรือกีบเท้าวัว ส่วนเก้าอี้แบบอัสซีเรียชนิดอื่น ๆ จะค้ำยันด้วย CARYATIDES (เป็นรูปร่างมนุษย์) หรือเป็นรูปสัตว์ทั้งตัว

เก้าอี้กรีกชนิดแรก ๆ มีหลักฐานแสดงวันเวลาย้อนหลังไปถึงเมื่อครั้ง ศตวรรษที่ 5 หรือ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนพนักของเก้าอี้เหล่านี้ ตั้งฉากกับส่วนที่นั่ง และจะไม่สร้างเป็นแนวโค้งตามโครงสร้างของคน หรือทำให้เกิดความสะดวกสบายใด ๆ แก่ผู้ใช้ ผู้ที่แวะชมวิหารพาเธนอน (THE PATHENON) จะเห็นเทวรูปของเทพเจ้าเซอุสที่ผนังของวิหาร พระองค์ทรงประทับบนเก้าอี้สี่เหลี่ยมที่มีขากลึงและหนา เก้าอี้จะตกแต่งด้วยตัวสฟิงซ์มีปีก และเท้าของสัตว์ป่า แม้จะพยายามให้พระองค์นั่งประทับบนบัลลังก์ เพื่อให้เหมาะสมกับความสง่างามของพระองค์ แต่ไม่ปรากฏว่าสร้างให้เกิดความสะดวกสบายต่อพระองค์


เก้าอี้พับขาเก้าอี้เป็นรูปตัวเอ็กเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของช่างฝีมือสมัยโบราณเก้าอี้ชนิดนี้ซึ่งเข้าใจว่า แรกเริ่มได้ตั้งไว้ในรถม้าของผู้พิพากษา ส่วนใหญ่จะประดับด้วยงาช้าง ขาเก้าอี้โค้ง และโดยทั่วไปไม่มีพนัก ชื่อของเก้าอี้ชนิดนี้ ได้ถูกนำไปใช้ในภาษาอังกฤษและรู้จักกันในความหมายทั่ว ๆ ไป ที่หมายถึง เจ้าหน้าที่ (AN OFFICIAL) ถึงแม้ว่าแบบเก้าอี้พับชนิดนี้โดยทั่วไปเป็นแบบเรียบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันได้รับการตกแต่งประดับประดาในที่สุด ก็ไม่ได้เป็นเก้าอี้ที่พกพาอีกต่อไป ต่อจากนั้นก็จะเป็นเก้าอี้โรมัน ทำด้วยหินอ่อน และประดับด้วยตัวสฟิงซ์เหมือนกับชนิดที่เป็นของกรีก เป็นที่แน่ชัดว่า เก้าอี้ในสมัยโรมันโบราณได้สงวนไว้สำหรับผู้สูงศักดิ์ และทำไว้สำหรับ ผู้ที่สามารถจ้างช่างฝีมือราคาแพงและใช้วัสดุที่ฟุ่มเฟือย


เช่นเดียวกับกรีกและโรมัน อาณาจักรไบเซนไทม์ ก็นิยมเก้าอี้ ซึ่งถือเป็นเก้าอี้ที่ธรรมดาที่สุด การประดับตกแต่งที่นิยมก็ได้แก่ รูปหัวสิงโต รูเทพเจ้าแห่งชัยชนะและท้าวแขนรูปปลาโลมา ส่วนใหญ่พนักเก้าอี้จะออกแบบให้คล้ายกับพิณ (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 8)


สมัยโกธิค (GOTHIC)


เนื่องจากสมัยโกธิค เป็นสมัยที่มีช่วงเวลายาวนาน (คศ. 1100-1453) ดังนั้นจึงเป็นสมัยที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในด้านคุณภาพและศิลปะ เริ่มตั้งแต่ผลงานแบบหยาบ ๆ และค่อย ๆ วิวัฒนาการให้หรูหราขึ้น เรื่อยไปจนถึงแบบที่ประณีตงดงาม ในช่วง 350 ปีนี้ ศิลปะสถาปัตยกรรมและการตกแต่งแบบโกธิค ได้พัฒนาไปในทิศทางของมันเอง โดยที่ไม่ได้รับอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกทั้งสิ้น

ตลอดสมัยโกธิค ช่างฝีมือชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์ลวดลายลงบนไม้ ฝีมือของช่างเหล่านี้ล้ำหน้ากว่าช่างฝีมือชาติอื่น ๆ ในแถบยุโรป

เครื่องเรือนแบบโกธิค โดยมากจะทำตามแบบสถาปัตยกรรมแบบเก่า ที่มีอยู่แต่เดิม เครื่องเรือนที่เป็นแบบดั้งเดิมนี้จะรวมไปถึง การประดับตกแต่งแบบใบไม้โค้ง และยอดโค้งแหลมเครื่องเรือนที่ใช้กับพระและฆราวาส จะมีลักษณะรูปทรงแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ที่นั่งของพระจะทำด้วยวัสดุและแบบ เช่นเดียวกับที่นั่งของฆราวาส

ลักษณะที่เป็นรูปแบบเฉพาะของสมัยโกธิค ได้แก่ ความเรียบง่ายและความสะดวกในการพกพา ถึงแม้ว่าม้านั่งไม่มีพนัก (STOOLS) และม้านั่งยาว (BENCHES) จะเป็นเพียงที่นั่งแบบธรรมดา ๆ ที่ใช้กันอยู่ แต่เก้าอี้พนักสูง (HIGH-BENCHED CHAIR) ได้เกิดขึ้นมาเป็นที่นั่งแบบ (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:15)

สมัยทิวดอร์ (TUDOR)



ในช่วงใกล้สิ้นสมัยโกธิคนั้น อิทธิพลจากต่างชาติที่ได้แตกแขนงจาก ศิลปะแบบเรอเนสซองส์นั้น ได้ซึมซาบเข้าสู่การออกแบบเครื่องเรือนของอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 (คศ. 1509-1547) ทรงตระหนกที่อิทธิพลนี้ ทำให้เกิดรูปแบบที่มีความสง่างามกว่าพระราชวังของพระองค์ ที่เป็นแบบร่วมสมัยของฝรั่งเศส หรือ Francois l พระองค์จึงได้ทรงพาช่างฝีมือชาว
อิตาเลียน และชาวเฟรมมิซเข้ามา จนกระทั่งถึงปลายสมัย ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ได้นำแนวความคิดด้านการออกแบบมาเผยแพร่ไปทั่วยุโรป ซึ่งแนวความคิดใหม่เหล่านี้ ก็ไม่ได้กลืนแบบโกธิคที่มีอยู่แต่เดิม แต่ออกจะผนวกเข้ารวมกับของเดิมเสียมากกว่า ความเสื่อมของแบบโกธิค และความรุ่งโรจน์ของรูปแบบเรอเนสซองส์ ก่อให้เกิดศิลปะแบบใหม่ในวงการเครื่องเรือน และการตกแต่งภายในซึ่งรู้จักกันในนามของสมัยทิวดอร์
ในช่วงต้น ๆ ของ คศ.ที่ 16 แนวคิดของศิลปะเรอเนสซองส์ ได้รวมเอารายละเอียดปลีกย่อยของแบบอังกฤษผนวกเข้ากับรูปแบบโกธิคดั้งเดิม ซึ่งเราจะได้ทราบถึงความรุ่งโรจน์ ของอิทธิพลศิลปะเรอเนอสซองส์ ในงานประดับและแกะสลักด้วยไม้ เช่น ลายกุหลาบทิวดอร์ ลายแบบทิวดอร์ ลายใบไม้ และลายเส้นโค้ง

เก้าอี้ยังคงเป็นสิ่งที่หายากในสมัยนี้ เก้าอี้ที่เป็นลักษณะของสมัยทิวดอร์ จะเห็นได้จากลักษณะที่แข็งแรงและมั่งคง และขาเก้าอี้ที่ตกแต่งให้เป็น ทรงกระปุก (BULBOUS LEG)สมัยทิวดอร์เป็นสมัยของไม้โอ๊ก ถึงแม้ว่าจะมีไม้ชนิดอื่น ๆ ที่นำมาใช้บ้างก็ตามและไม้โอ๊กของอังกฤษ เป็นไม้ชนิดแรกที่ใช้สำหรับก่อสร้าง และทำเครื่องเรือน (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 21)




สมัย JACOBEAN

รูปแบบ JACOBEAN ซึ่งเป็นแบบของเรอเนสซองส์ระยะแรก ถือเป็นช่วงต่อระหว่างรูปแบบอลิซาบีธันและเรอเนสซองส์ขนานแท้ ซึ่งคิดค้นโดย Inigo Jones รูปแบบจาค็อบ JACOBEAN เป็นรูปแบบเครื่องเรือน 3 ลักษณะต่างๆกัน คือ แบบ JACOBEAN ตอนต้น (EARLY JACOBEAN) (คศ. 1603-1649) แบบคร็อมเวล (CROMWELLIAN) (คศ. 1649-1669) และแบบ CAROLEAN (คศ. 1660-1688)

เก้าอี้ในสมัยนี้จะสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง และไม่ประดับตกแต่งอะไรมากนัก นอกจากใช้เหล็กเส้นขึงไว้ และยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ แบบที่ออกมาก็สะท้อนให้เห็นศักดิ์ศรีของเจ้าของ การสร้างเก้าอี้จะใช้เทคนิคแบบการเข้าเดือยและจุดที่เชื่อมต่อกันจะตรึงไว้ด้วยหมุดไม้ ซึ่งตรงข้ามกับเทคนิคในแถบยุโรป ช่างทำเครื่องเรือนของอังกฤษจะทำงานแบบหยาบ ๆ หรือไม่พยายามจะปิดรอยบากที่ทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวไม้ เมื่องานแกะสลักเรียบร้อยร้อยแล้ว


เก้าอี้ในแบบสมัย ค.ศ.ที่ 17 แท้ ๆ จะเป็นเก้าอี้ WAINSCOT ที่ทำด้วยไม้โอ๊ก ขอบพนักจะแกะเป็นลวดลาย ขาเก้าอี้ที่กลึงและบิดเป็นเกลียว จะเตี้ยและมีค้ำให้แข็งแรง ปลายขาเป็นทรงกลมแป้น (BALL AND BUN FEET) พนักหลังที่เปิดโล่งจะเป็นหวายสาน ลูกกรง
เล็ก ๆ หรือซี่ระแนง

หลังจากพระเจ้าชาร์ลที่ 2 เสด็จกลับขึ้นครองราชย์บัลลังก์อีกครั้งหนึ่ง ใน คศ. 1660 เก้าอี้ได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นของธรรมดามากขึ้นสำหรับโต๊ะอาหาร ตลอดช่วงสมัย CAROLEAN เส้นตรงได้เปลี่ยนเป็นเส้นโค้งรูปตัว S หรือตัว C ซึ่งเห็นได้ชัดที่ขาเก้าอี้ซึ้งเป็นเส้นขดม้วน รวมทั้งที่โครงยึดขาเก้าอี้และขอบบนของเก้าอี้ก็กลายเป็นเส้นโค้งมากขึ้น

ในสมัยช่วง JACOBEAN ช่วงแรก ๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบของชาวต่างชาติ
รูปแบบของเรอเนสซองส์ ซึ่งได้พัฒนาขึ้นในอิตาลี ได้ถูกนำมาใช้ใน คศ.ที่ 17 โดยช่างแกะสลักชาวเยอรมันและเฟลมมิช ดังนั้นเมื่อสิ้นสมัย JACOBEAN อิทธิพลที่มีต่อการออกแบบเครื่องเรือนของอังกฤษ จึงเป็นแบบของชาวต่างชาติ ช่างฝีมือของอังกฤษได้เรียนรู้ทักษะ จากชาวยุโรปที่อยู่ในสมัยเดียวกัน

ก่อน คศ. 1660 ไม้โอ๊กเป็นไม้ชนิดสำคัญที่ใช้ในการทำเครื่องเรือน แต่ต่อมาก็ต้องหลีกทางให้กับไม้วอลนัทเมื่อช่างทำหีบพบว่า การแกะเส้นโค้ง เส้นบิดเกลียว และลายขดม้วนนั้น ถ้าใช้ไม้วอลนัทจะทำให้แกะได้ง่ายกว่าและดีกว่า เครื่องเรือนที่ใช้ในการตกแต่งก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเช่นกัน การแกะสลักแบบแข็งกระด้าง การตกแต่งโดยใช้สายเหล็กรัด และลายไขว้กัน เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการตกแต่งโดยใช้วิธี INLAY การกลึง การลงรักทอง และการทาสี วัสดุที่ใช้หุ้มเก้าอี้ที่ทำด้วยกำมะหยี่ ผ้ามีดอกปักและไม้ถัก ก็ปรากฏขึ้นในช่วงสมัย JACOBEAN นี้ด้วยเช่นเดียวกัน (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:25)

สมัยเรอเนสซองส์ (RENAISSANCE)

ในช่วงใกล้สิ้นสุด คศ.ที่ 15 ยุโรปได้หันไปหาวัฒนธรรมของกรีกและโรมัน (คลาสสิค) ในด้านศิลปะวรรณคดี ดนตรี และการตกแต่ง ประเทศแล้วประเทศเล่า ได้รับเอารูปแบบศิลปะของอิตาลีมาใช้ จนกระทั่งถึงกลาง ค.ศ.ที่ 19 ที่รูปแบบประจำชาติของบรรดาประเทศในแถบยุโรปสมัยใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นมา

ในการออกแบบเครื่องเรือนช่างฝีมือได้เลิกใช้รูปแบบ Byzantine-Gothic และหันมานิยมรูปแบบเรอเนสซองส์ โครงสร้างของเกาอี้จะเป็นไม้วอลนัท หรือไม้เกาลัด (Chestnut) ซึ่งเป็นเครื่องเรือนแบบเรอเนสซองส์ที่มีมากที่สุด การตกแต่งด้วยการแกะลายประดับประดา ทำอย่างประณีต และมีคุณภาพดีแบบหาที่ติมิได้ ส่วนประกอบของโครงสร้างจะถูกประดับโดยใช้วิธี INLAY


เมื่อใกล้สิ้น คศ. ที่ 14 ช่างทำตู้ได้เริ่มลอกเลียนงานโมเสคหินอ่อน โดยทำแบบเดียวแต่ใช้ไม่ต่างประเทศหลาย ๆ ชนิด ลวดลายมีตั้งแต่ แบบที่เป็นเรขาคณิตแบบง่าย ๆ ไปจนถึง แบบทิวทัศน์ โบสถ์ รูปคนและสัตว์ งาน INTARSIA แบบอิตาลีในช่วงต้น ๆ ก็รับเอาแนวคิดนี้เหมือนกัน แต่ช่างฝีมือเรอเนสซองส์ เน้นการตกแต่งพื้นผิวที่เป็นโครงสร้างเมื่อมีการพัฒนาศิลปะกันมากขึ้น ได้มีการเอาวิธีการใช้ไม้บางหุ้มเครื่องเรือน (VENEER) และมีการเพิ่มคุณภาพของงานศิลปะ โดยใช้เทคนิคการเผาทรายร้อน ลงไปในบริเวณที่ต้องการให้เกิด SHADE สี

ลักษณะการประดับประดา ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน ในช่วงสมันกลางการตกแต่งแบบเดิมจะบรรยายเรื่องของพระและเรื่องราวทางศาสนา ในขณะที่สมัยเรอเนสซองส์นั้นจะยรรยายภาพเทพนิยาย และเรื่องราวที่เป็นคตินิยม เรื่องที่เป็นแบบดั้งเดิมนี้ รวมไปถึงเรื่อง ธาตุ ฤดู เดือน ปี คุณธรรมความดี การสงคราม และการฉลองชัยชนะจากยุคต้น ๆ

จากช่วง คศ.ที่ 16 จนถึงกลาง คศ.ที่ 17 การออกแบบเครื่องเรือนของฝรั่งเศสจะสะท้อนให้เนถึงการแทรกซึมรูปแบบของอิตาลีจากปรัชญาฝรั่งเศส ประเทศอังกฤษก็ได้ตามอย่างจากอิตาลีและฝรั่งเศสที่ละน้อย ๆ และได้ผลิตเก้าอี้แบบเรียบง่ายจนดุออกจะเป็นกระด้าง

เมื่อแนวคิดด้านมนุษยนิยมของเรอเนสซองส์ฝังรากลึกลง เก้าอี้จึงได้กลายเป็นเครื่องเรือนประจำบ้านที่ธรรมดาสามัญมากขึ้น การทำเก้าอี้จะทำโครงสร้างให้แข็งแรงและมีขนาดใหญ่ ทำให้มีที่สำหรับแกะสลักลวดลาย เช่น ลายใบอะคันธัส ลายคิ้วลูกปัด และเหรียญตรา ผ้ากำมะหยี่สีสดใสต่าง ๆ เป็นผ้าที่ใช้มากที่สุดในการหุ้มเก้าอี้ (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 35)



สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13

ช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (คศ. 1610-1643) การออกแบบเครื่องเรือน ซึ่งมีลักษณะเป็นฝรั่งเศสเป็นแบบที่นำสมัย รูปแบบการตกแต่งที่เป็นที่นิยมได้รับการพัฒนาไปสู่รูปแบบ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่าง ๆ กันไป รูปแบบที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ ได้มีอิทธิพลต่อแบบเครื่องเรือนชองฝรั่งเศสในกาลถัดไปเกือบ 200 ปี ดังเราจะเห็นได้ว่ายุคต่อ ๆ มา อันได้แก่ สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (LOUIS QUATORZE) พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (LOUIS QUINZE) และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (LOUIS SEIZE) ได้ตามแบบอย่างสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (LOUIS TREIZE) ถึงแม้ว่าการออกแบบของทั้ง 3 สมัย ที่มีความแตกต่างกันอยู่จะทำให้ไม่เหมือนกันทีเดียวก็ตาม

การออกแบบเก้าอี้ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 จะไม่เหมือนกับในสมัยก่อน ๆ เพราะเก้าอี้ในสมัยนี้ จะไม่เป็นแบบอิตาเลียน ทั้งในด้านลวดลายและการประดับตกแต่ง ลวดลายบนเท้าแขน เส้นโค้งของขาเก้าอี้ ลายห้อยระย้า ช่อดอก โบว์และหรีดดอกไม้ จะประดับตกแต่งไว้อย่างฟุ่มเฟือย และอาจมีการลงรักทอง เพื่อสร้างความหรูหรา ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยก่อนแล้ว ก็นับได้ว่า เก้าอี้สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 นี้ มีความโอ่อ่าหรูหรามากทีเดียว แบบเช่นนี้แหวกแนวจากสมัยโบราณ แต่ก็เป็นการชี้นำไปสู่ การประดับตกแต่งแบบฟุ่มเฟือย และไม่จำกัดขอบเขตของสมัยร็อคโคโค(LOUIS QUINZE)



แบบเก้าอี้ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในสไตล์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 คือแบบเก้าอี้ที่ใช้ทั้งกำมะหยี่สีแดง หรือผ้าปักดอกมีลวดลายกับพู่ห้อยชายเป็นสีทอง เนื่องจากผ้าปักดอกที่ทำด้วยไหมและกำมะหยี่ ต้องนำเข้ามาจากเมืองเวนิชหรือจากฝั่งซีกโลกด้านตะวันออก ดังนั้นจึงมีการทำเลียนแบบหรือใช้วัสดุที่มีราคาถูกกว่า โดยผลิตขึ้นเองในฝรั่งเศส

เครื่องเรือนที่ใช้ไม้มะเกลือ กระดูกสัตว์ (BONE) โลหะ งาช้าง INLAY เริ่มได้รับความนิยมในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ซึ่งเป็นการชักจูงไปสู่ การประดับตกแต่งด้วยวิธี BOULLE และ ORMULU ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 51)


สมัยกษัตริย์วิเลียมและพระนางแมรี่ (WILLIAM AND MARY)

ในรัชสมัยของกษัตริย์วิลเวียมและพระนางแมรี่ (คศ. 1689-1702) ชี้ให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในด้านการออกแบบเครื่องเรือน ซึ่งได้ดำเนินไปจนถึงสมัยพระนางแอนน์และล่วงเข้าสู่สมัย คศ.ที่ 18

ลักษณะที่เด่นชัดของเครื่องเรือนในยุคสมัยนี้คือ อิทธิพลจากต่างชาติ รูปแบบต่าง ๆ ที่รุ่งเรืองอยู่ในประเทศฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ (ฮอนแลนด์) สเปน อินเดีย และจีน ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อเครื่องเรือนของอังกฤษ และจากความพยายามที่จะค่อย ๆ ปรับปรุงรูปแบบจากประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ จึงได้มีการตั้งโรงเรียนขึ้นในอังกฤษเพื่อสอนด้านการตกแต่งภายใน ซึ่งเริ่มโดยนาย DANIAL MAROT



งานเคลือบเงา (LACQUER) งานฝังไม้สลับสี (MARQUETRY) การวาดรูป (PAINTING) การลงรักทอง (GILDING) และการหุ้มเครื่องเรือนด้วยผ้าที่เย็บอบ่างประณีต นับเป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมใช้ในการตกแต่งเครื่องเรือนการสอดคล้องประสานระหว่าง เส้นสายและความเรียบง่ายได้ถูกนำมาใช้ เพื่อให้ผู้ใช้เครื่องเรือนได้รับความสะดวกสบายมากกว่าที่จะทำให้ดูงดงามหรือดีเลิศถึงแม้ว่ารูปแบบขาเก้าอี้โค้ง (CABRIOLE LEGS) จะได้เริ่มเข้ามามีบทบาทกับรูปทรงของเก้าอี้ในสมัยกษัตริย์วิลเวียมและพระนางแมรี่ แต่ดูเหมือนว่า ขาเก้าอี้ทรงถ้วคว่ำ (INVERTED CUP LEG) จะเป็นลักษณะของเก้าอี้ที่เป็นสัญลักษณ์ของสมัยนี้มากกว่า พนักเก้าอี้ทำเป็นเส้นโค้งแบบซ้อน หรือโค้งไปมา เพื่อรองรับกับแผ่นหลัง การตกแต่งด้วยทองเหลืองได้เริ่มเป็นที่นิยม และถูกนำมาใช้เป็นพื้นหลัง (BACKGROUND) ของไม้วอลนัท (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:55)




สมัยพระนางแอนน์ (QUEEN ANNE)

ในอังกฤษถือว่า การเริ่มต้นของ คศ.ที่ 18 แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการ การออกแบบเครื่องเรือนในรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า สมัยพระนางแอนน์ ยุคนี้นำไปสู้ยุคทองของเครื่องเรือนอังกฤษในช่วงต่อมาของคศที่ 18

เก้าอี้ที่ผลิตขึ้นมาก่อนสมัยพระนางแอนน์มีพนักสูง และโดยทั่ว ๆ ไปจะตกแต่งให้งดงามด้วยหวายสานที่ทำเป็นแผ่นเสริมที่บริเวณพิงหลังที่กลึงหรือแกะไว้ ไม้วอลนัท โอ๊ก หรือไม้ผล (FRUIT WOODS) มักจะถูกนำมาใช้สำหรับทำโครงเก้าอี้ แต่ก่อนเก้าอี้จะตกแต่งด้วยการแกะอย่างประณีตที่บริเวณโครงยึดฐานเก้าอี้ ส่วนขาเก้าอี้จะกลายเป็นลายขดม้วนแบบสเปนหรือบิดเป็นเกลียว นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ทอง เงิน หรือแลคเกอร์แดงเคลือบไว้ วัสดุหุม้เก้าอี้มักจะใช้กำมะหยี่ไหม

ในสมัยพระนางแอนน์ แบบเก้าอี้ทั้งหมด จะเป็นแบบเรียบง่าย กะทัดรัด ไม่หรูหรา การแกะสลักจะทำเพียงบริเวณพิงหลัง และบางครั้งก็อาจเป็นลายขดม้วนที่บริเวณส่วนโค้งของขาเก้าอี้หรือปลายขาเก้าอี้ ส่วนโค้งยึดขาเก้าอี้ได้เลิกใช้ไปโดยสิ้นเชิง ช่างทำเครื่องเรือนได้ปรับเปลื่ยนแนวความคิดไปสู่แบบที่เรียบง่ายแทน และเก้าอี้พนักสูงก็แทบจะสูญหายไปหมดสิ้น คงเหลือไว้บ้างเฉพาะเก้าอื้ที่ใช้สำหรับห้องโถง ซึ่งยังคงรูปแบบและการตกแต่งแบบสมัยก่อน ๆ(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:55)

ลักษณะพิเศษที่สำคัญของเก้าอี้สมัย “ควีน แอนน์” คือขาแบบแค็บบริโอล มีสัดส่วนที่แข็งแรงมั่นคง กว้างขวางพอ และมีแนวเส้นขึ้นลงเป็นคลื่น มีพื้นผิวส่วนใหญ่ราบเรียบ ไม่มีการประดับตกแต่ง และลายไม้ที่ช่วยให้มีการตกแต่งสวยสมบูรณ์ขึ้น โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะใช้ไม่วอลนัทเมื่อมีการตกแต่ง (ปริโชติ ลิมปโชติ, 2532:36)


วิวัฒนาการอีกก้าวหนึ่งในการออกแบบเก้า ได้แก่ ที่นั่งเรียกว่า DROP-IN โดยใช้ไม้บาง (VENEER) หุ้มบริเวณขอบเก้าอี้เพื่อเพิ่มความเรียบง่าย เก้าอี้เริ่มมีขนาดเตี้ยลง และมีพิงหลังทำเป็นแนวโค้งคล้ายรูปแจกัร ฝังประกบด้วยวิธีการฝังไม้สลับสี (MARQUETRY) หรือหุ้มด้วยไม้วอลนัท



การตกแต่งโดยใช้การเคลือบเงา (LACQUER) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเรือนแบบตะวันออก ได้รับความนิยมเป็นอันมากในอังกฤษ เพราะอังกฤษได้นำเครื่องเรือนจากซีกโลกตะวันออกเข้ามาเมื่อหลายร้อยปีก่อน คศ.ที่ 18 แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมาก จนกระทั่งหลังสมัยที่พระเจ้าชาร์ลที่ 2 เสด็จกลับขึ้นครองราชย์อีก (THE RESTORATION) รูปแบบตะวันออกจึงได้รับความนิยมชมชอบ คุณภาพของงานเครื่องเรือนในแถบตะวันออก ส่วนใหญ่จะด้อยกว่าคุณภาพงานของเครื่องเรือนอังกฤษ ได้ผสมผสานรูปแบบจากตะวันออกมาประยุกต์เข้ากับเทคนิคในด้านโครงเก้าอี้ที่ดีอยู่แล้วจึงทำให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ

กล่าวโดยสรุป เก้าอี้สมัยพระนางแอนน์ จะสังเกตได้จากพิงหลังที่เป็นตัว S ซ้อนกัน 2 ตัวและแกะสลักอยู่ตรงบริเวณพิงหลังบริเวณส่วนหัวโค้งของขาเก้าอี้และปลายขา นอกจากนี้อาจสังเกตได้จากขาเก้าอี้ที่เป็นแบบ CABRIOLE LEGS ที่มีส่วนปลายเป็นลักษณ์กีบเท้าสัตว์ขาเรียบ ๆ และแบน (CLUB FOOT) หรือ ขาทรงเรียบ (PADE FOOT) หรือลักษณะเก้าอี้ที่ไม่มีโครงยึดฐาน (STRETCHERS) และ DROP-in SEAT ที่ใช้ไม้บาง (VENEER) หุ้มบริเวณขอบเก้าอี้ (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:57)


สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

พระราชวังแวร์ซาย (THE PALACE OF VERSAILLES) เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (LE GRAND MONARQUE) การตกแต่งประดับประดาภายใน เป็นการปั้นลงรัก และทาสีเพดาน จึงจำเป็นต้องใช้ฝีมือการประดับตกแต่งที่ดีเลิศ เพื่อเป็นการอวดให้เป็นผลงานที่เหนือกว่า สถาปัตยกรรมอื่น ๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงตัดสินพระทัยได้ถูกต้อง ในการที่ทรงเลือกช่างศิลป์ที่เหมาะสมในการสร้างพระราชวังใน คศ. 1664 พระองค์ทรงก่อตั้งโรงเรียน ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระองค์ ซึ่งสอนเกี่ยวกับ การวาดรูป (PAINTING) สถาปัตยกรรม แลประติมากรรม (SCULPTURE) ในยุคนี้เช่นเดียวกันที่โรงงานทอผ้า สำหรับตกแต่งเครื่องเรือนที่มีชื่อว่า โกบาลิน (GOBELINS) ได้ก่อตั้งขึ้น และได้กลายเป็นศูนย์ส่วนกลางสำหรับช่างฝีมือ ซึ่งผลิตเครื่องเรือนในสมัยนั้น (ปริโชติ ลิมปโชติ, 2532:39)

นักออกแบบที่มีชื่อเสียงเด่นมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้นได้แก่ นายอังเดร ชาร์ลส์ บูล (ANDRE CHARLES BOULLE) เขาเป็นผู้ริเริ่มวิธีการตกแต่งเครื่องเรือนโดยใช้ กระดองเต่า (TORTOISE-SHELL) และไม้หุ้มที่ผิวเครื่องเรือน และฝัง (INLAY) ด้วยทองเหลือง วิธีการเช่นนี้ เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเรือนสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และเครื่องเรือนที่ใช้เทคนิคชนิดนี้ จะมีชื่อของบูล (BOULLE) ปรากฏอยู่แบบพื้นฐานที่ใช้สำหรับเทคนิคบูล คือ แบบที่เป็นรูปหน้าการเทพารักษ์ หัวแกะ ใบไม้แกะเป็นรูปขดม้วน และเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระอาทิตย์ และเมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้มีอิทธิพลอื่น ๆ ที่เข้ามามีบทบาทต่อความชื่นชอบ และรสนิยมของคนในสมัยนั้น ทำให้รูปแบบสมัยต่อมามีการประดับประดามากขึ้น ดังนั้นแทนที่จะใช้ไม้หรือกระดองเต่าที่เป็นสีธรรมชาติจึงกลายเป็นใบไม้สีทองหรือสีแดงวางไว้ใต้กระดองเต่าที่โปร่งแสง งานประดับที่ใช้เป็นแบบฟุ่มเฟือยลดลง และส่วนที่เป็นทอง บริเวณขอบเครื่องเรือน จะตกแต่งด้วยพันธ์ผักที่เลื้อยไปมา ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของสมัยนี้(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:)

สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (LOUIS XV)

รูปแบบของสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 หรือ LOUIS QUINZE รู้จักกันโดยทั่วไป ในชื่อของ ร็อคโคโค เพราะช่วงต้นที่ผ่านมาพระองค์ทรงครองพระราชย์บัลลังก์ (คศ. 1715-1774) เป็นช่วงที่ลักษณะของร็อคโคโค ซึ่งมีความหรูหรา ฟุ่มเฟือย ได้รับการโจทย์จันกันมากที่สุด

ลักษณะขั้นพื้นฐานของรูปแบบร็อคโคโค บางอย่างได้ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วในช่วงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้รับการปรับปรุงพัฒนาในส่วนของความหรูหรา ฟุ่มเฟือย หลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เสด็จขึ้นครองราชย์ ร็อคโคโคแบบสมบูรณ์ที่มีการประดับประดากันอย่างฟุ่มเฟือย ได้เข้ามามีบทบาทในสมัยนี้ ความหรูหราฟุ่มเฟือย และความคิดที่ไม่เป็นแก่นสาร ถือเป็นข้อบกพร่องเล็กน้อยมาก ใรสมัยนั้นการประดับประดาจะเล็งตรงไปที่ ความงดงาม แพรวพราว และมีหน้ามีตา ห้องนั่งเล่นกลายเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมในครอบครัว ดังนั้นห้องนี้จึงได้รับการดูแล ออกแบบให้หรูหรา และน่าพิศมัยเพื่อพรางห้องอื่น ๆ

รูปแบบร็อคโคโค เป็นรูปแบบทางศิลปะที่ค่อนข้างจะไม่เป็นธรรมชาติ ความอ่อนช้อยของเส้นโค้ง ที่แยกออกจากกัน ลายเปลือกหอยที่หลากหลาย และลายขดม้วนที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ส่งให้เกิดแบบของร็อคโคโคที่เด่นชันมากการตกแต่งด้วยลายพันธุ์ผัก (EVDIVE) ที่เลื้อยไปมา ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกลักษณะร็อคโคโคจะมีปรากฏทุกแห่งในการตกแต่งทางสถาปัตยกรรม กำแพง ประตู ช่องเว้าตามกำแพงจะเต็มไปด้วยการออกแบบอย่างประณีตในลักษณะภาพนูนที่หล่อ หรือแกะเป็นนกเขา พวงหรีด น้ำพุ กามเทพ สรีษะ หรือน่าอกของผู้หญิง(ปริโชติ ลิมปโชติ, 2532:32)

เครื่องเรือนได้รับการตกแต่งประดับประดาไว้ด้วยรูปแบบร็อคโคโคเช่นกัน เก้าอี้จะถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กและมีเส้นโค้งมากขึ้น หุ้มด้วยผ้าทอลายจากโรงงานโกเบลิน, โบเว่ และโอบูซอง หรือเป็นผ้าไหมสีซีด ๆ หรือผ้าปักดอก การทำหอยมุกและงานฝังไม้สลับสี ที่มีคุณภาพดีขึ้น ทำให้รูปแบบร็อคโคโค เต็มไปด้วยจินตนาการ

เครื่องประดับตกแต่งบ้าน ที่เคลือบแลคคเกอร์ เป็นที่นิยมมากในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของที่ใช้เป็นแลคเกอร์เคลือเงาจากจีน ได้เข้าสู่ยุโรปตั้งแต่ ชาวดัชท์ได้เปิดพื้นที่เส้นทางทางการค้ากับซีกโลกตะวันตก เมื่อ 100 ปีก่อน จนถึงกลาง คศ.ที่ 18 มีเพียงช่างฝีมือชาวจีนเท่านั้น ที่มีฝีมือนำหน้าในกระบวนการทำผิวให้เรียบและสวยงาม ดังนั้นช่างฝีมือชาวยุโรปจะเตรียมแผ่นไม้ ที่ใช้สำหรับหารตกแต่งไว้ และส่งลงเรือไปยังประเทศจีน

กล่าวโดยทั่วไป เก้าอี้ สไตล์ LOUIS QUINZE จะมีขาเก้าอี้แบบ CABRIOLE LEGS และเป็นเส้นโค้งอย่างเห็นได้ชัด ท้าวแขน ขอบที่นั่งและโครงพนักหลังก็เป็นเส้นโค้ง และแกะอย่างวิจิตรบรรจง โครงเก้าอี้จะใช้ไม้มะฮอกกานี ที่ทำให้ดูหรูหรา ฝดดยวิธี INLAY , ฝังไม้สลับสี ลงรักทอง เคลือบเงา(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:72)


ชิบเพนเดล (CHIPPENDALE)

รูปแบบของชิบเพนเดล ไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่งานของชิบเพนเดลเท่านั้น มันรวมถึงผลงานของศิลปินร่วมสมัยเดียวกับเขามากมายหลายท่าน

ในช่วงต้นของอาชีพ โทมัส ชิปเพนเดล ไม่ได้คิดค้นรูปแบบใหม่ ๆ ออกมา เขาใช้วิธีปรับเอาจากรูปแบบทีมีมาก่อนมากกว่า แต่ช่วงระยะเวลาจากปี คศ. 1745-1770 รูปแบบที่เขาคิดขึ้นมา ได้มีอิทธิพลต่อการออกแบบเครื่องเรือนของอังกฤษ และในช่วงสมัยเครื่องเรือนของอังกฤษ และในช่วงสมัยนี้เองที่เครื่องเรืองของอังกฤษมีความโดดเด่นเหนือการทำเครื่องเรือนในแถบยุโรป

การออกแบบที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดของ ชิปเพนเดล คือ เก้าอี้ เก้าอี้ของเขาแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ใช้ไม้มะฮอกกานี ที่แกะลายอย่างงดงาม และเลิกใช้การตกแต่งแบบ INLAY พนักหลังจะทำลายไขว้กันไปมาอย่างประณีตและจะมีพิงหลัง (SPLATS) เป็นทรงแหลมหรือเป็นมุมที่ส่วนยอด ท้าวแขนจะวางตั้งฉากกับแกนพนักเก้าอี้ทั้ง 2 ข้าง อย่างงดงามได้สัดส่วน ขาเก้าอี้แบบ CABRIOLE LEGS ที่ปลายขาเป็นกีบเท้าสัตว์ หรือทรงกลมแป้น ทำให้เก้าอี้สไตล์ดูมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น

เก้าอี้ชิปเพนเดล แบ่งออกเป็น 4 แบบเด่น ๆ แต่ละแบบมีเอกลักษณ์ ตามอิทธิพลแวดล้อม ในช่วงสมัยชิปเพนเดลตอนต้น 2 แบบแรกที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักออกแบบเก้าอี้ ได้แก่แบบจีนและแบบโกธิค ชิปเพนเดลถอดแบบ 2 ชนิดนี้ออกมาใส่ในแบบเก้าอี้ของเขา ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากจากเก้าอี้ 2 สไตล์นี้ (ปริโชติ ลิมปโชติ, 2532:33)

ถึงแม้ว่า รูปแบบของชิปเพนเดลมีความทนทานน้อย แต่เก้าอี้โกธิคของชิปเพนเดลทำให้ขาเก้าอี้แบบโกทิคสไตล์อังกฤษ ได้ความนิยมขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับโรงเรียนชิปเพนเดล เก้าอี้โกทิคแบบชิปเพนเดลจะสังเกตเห็นได้จาก ขาเก้าอี้ที่มีลักษณะ
แบบชิปเพนเดลในฝรั่งเศส เริ่มต้นในตอนใกล้สิ้นยุคร็อคโคโค และเป็นรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายตลอดทั่วยุโรปใน คศ.ที่ 18 ต่อมาอิทธิพลของร็อคโคโค ได้ถูกนำมาปรับเข้าสู่รูปแบบชิปเพนเดลในไสตล์ของพระเจ้าพลุยส์ที่ 15 ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ พนักหลังเป็นทรงรี หรือรูปโบว์ ขาโค้ง ตกแต่งด่วยลวดลายแกะสลักแบบขดม้วน อย่างปราณีตแลลงรักทอง เป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ น้ำตก และนก

แบบเก้าอี้ชิปเพนเดลชนิดที่ 4 ที่คุ้นตามากที่สุดนั้นถือได้ว่า เป็นผลงานที่น่าพึ่งพอใจมากที่สุด และเป็นชนิดที่ทนทานที่สุด เก้าอี้รุ่นนี้สะท้อนให้เห็นความตั้งใจของชิปเพนเดลในด้านความแข็งแรงและงดงาม เค้าเชื่อว่าการใช้งานและโครงสร้างเก้าอี้ ไม่ควรด้อยกว่าการประดับประดาซึ่งมีมากมายและไม่จำเป็น ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความสวยงามอีกด้วย เก้าอี้ชิปเพนเดลชนิดนี้จะมีความแข็งแรงและทนทาน และยังคงรูปแบบเครื่องเรือนดัชท์แบบดั้งเดิมที่มีเนื้อที่มใช้สอยประโยชน์ได้มากอยู่ด้วยส่วนที่เป็นทั่งจะกว้างออกไปทางด้านหน้า และพนักหลังจะผายออกไปทางส่วนยอดและมีการประดับปรดาด้วยรูปทรงที่ดูคล้ายหูในแบบต่าง ๆ กันไป

ชื่อของชิปเพนเดลเป็นสัญลักษณ์ ในการทำเครื่องเรือนของอังกฤษ และผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาได้รับการพิจารณาว่า เป็นแบบที่มีความงดงามล้ำเลิศ (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537:71)

พี่น้องตระกูลอาดัม (THE ADAM BROTHERS)

เมื่อใกล้สิ้นคศ.ที่ 18 ได้เกิดมีการปฏิวัติทางด้านสถาปัตยกรรม และการตกแต่งภายในของอังกฤษ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ไม่ต่อเนื่องกับการเจริญเติบโต ที่มีมาอย่างสม่ำเสมอมากกว่า 100 ปี ก่อนหน้านี้ ROBERT และ JAMES ADAM ได้เบนความสนใจมาสู่รูปแบบกรีกและโรมันคลาสสิค การฟื้นฟูรูปแบบโบราณให้เข้ากับรูปแบบที่อยู่ในสมัยนั้น ทำให้เข้าทั้งสอง ประสบความสำเร็จด้านการออกแบบตกแต่งภายใน และสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใครซึ่งรู้จักกันในนามของ ADAM STYLE

การออกแบบเครื่องเรือน ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยแรงบันดาลใจ จากรูปแบบคลาสิคเท่านั้น ทั้งนี้เครื่องเรือนนั้น ๆ จะต้องเหมาะที่จะใช้กับห้องที่เป็นแบบกรีกและโรมันด้วย
อาจกล่าวได้ว่า เครื่องเรือนที่ได้ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในการรวมรูปแบบเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน ได้แก่ เก้าอี้ของอาดัม พี่น้องตระกูลอาดัมได้ตัดทอนส่วนโค้งแบบกรีกที่มีอยู่ทั่วไปออก และใช้ขาเก้าอี้ตรงเล็ก และเรียวแทน ขาเก้าอี้ส่วนมากเป็นแบบเซาะร่อง (SULTED) ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ในยุคนั้นและตัดส่วนโค้งเว้าของขาเก้าอี้ออกไป และทำขาเก้าอี้เป็นทรงเรียว (SPADE FOOT)

ที่พนักเก้าอี้เป็นรูปทรงรีและมีโครงเป็นไม้เนื้อแข็ง โดยมากใช้ไม้ซาตินสำหรับการทำ INLAY หรือทำตัวเก้าอี้ทั้งหมด พี่น้องตระกูลอาดัมนิยมการประดับตกแต่งเก้าอี้ด้วย การทาสีทอง การใช้รูปนูน และภาพเขียนสีเป็นวิวแบบคลาสิค นอกจากนี้อจจะมีตัวสฟิงซ์แกะเป็นลายนูนต่ำ พวงหรีด มาลัย ใบพัด

ลายละเอียดในการประดับทุกส่วน ล้วนเป็นที่ดึงดูความสนใจทั้งสิ้น พี่น้องตระกูลอาดัม ไม่เพียงแต่ออกแบบโครงและส่วนประกอบพื้น ๆ ของเก้าอี้เท่านั้น เค้ายังเลือกลวดลายของผ้าหุ้มเก้าอี้ ผ้าที่เค้าชอบใช้ ได้แก่ กำมะหยี่ขนแกะ ไหมเนื้อหนัก และผ้าปักดอกแบบฝรั่งเศส

เก้าอี้พี่น้องตระกูลอาดัม (THE ADAM CHAIR) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดรวบยอดในการตกแต่งภายใน องค์ประกอบพื้นฐานแบบคลาสิคที่ใช้กับเครื่องเรือน จะสะท้อนให้เห็นใน พรม เพดาน ลวดลายบนกำแพง ที่จรงเราสามารถกล่าวได้ว่า แบบคลาสิคเหล่านี้อยู่ในเครื่องเรือนทุกชิ้น ไปจนถึงเหล็กเขี่ยเตาผิง ซึ่งทำให้อาคาร ห้อง และเครื่องเรือนเสริมกันและกันเอง(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537 : 79)

สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (LOUIS XVI)

ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (คศ. 1774-1793) รูปแบบหรูหราฟุ่มเฟือยของร็อคโคโคได้หลีกทางให้กับแบบที่เรียบง่าย และดูบริสุทธิ์มากขึ้น ลวดลายขดม้วน ได้ถูกแทนที่โดยเส้นตรง เส้นโค้ง และรูปโดม ได้ถูกนำมาใช้ตกแต่งส่วนหน้าของอาคาร มีการรื้อฟื้นมาใช้เสาหินและเสาแถวอีกครั้ง การตกแต่งภายในจึงตามอย่างไปโดยปริยาย

การฟื้นฟูรูปแบบคลาสิค ได้รับแรงกระตุ้นมาจากค้นพบสมบัติโบราณใน HERCULANEUM และ POMPEll มีการถอดแบบจากภาพเขียนบนผนังปูน ภาพวาดที่พบในเมืองเก่า ๆ ในอิตาลี เพื่อใช้เป็นแบบให้กับช่างทำเครื่องเรือนในสมัยนั้น

แบบเก้าอี้ในยุคนี้ เน้นที่เส้นตรงและเส้นนอน ขาเก้าอี้แบบเซาะร่องที่เรียวและตรง ไม้ส่วนใหญ่ที่ใช้สำหรับทำเก้าอี้มีทั้ง มะฮอกานี ไม้ซาติน และไม้อื่น ๆ

ถึงแม้ว่าสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (LOUIS SEIZE) จะมีความยิ่งใหญ่ โอ่อ่าน้อยกว่าสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (LOUIS QUATORZE) แต่ก็ได้ผลิตเก้าอี้ที่มีความสวยงามได้อย่างต่อเนื่อง นักออกแบบสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เลิกการตกแต่งแบบหรูหรา เพ้อฝัน ในสไตล์ร็อคโคโค และหันไปให้ความสนใจกับรูปแบบที่ดูบริสุทธิ์ และอ่อนโยนกว่าแบบคลาสิค(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 81)

เชอราตัน (SHERATON)

นอกเหนือจาก โทมัส ชิปเพนเดล โทมัส เชอราตัน นับได้ว่าเป็นนักออกแบบและช่างทำเครื่องเรือนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งขออังกฤษ

ชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเขา มาจากหนังสือเด่น ๆ ที่ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นในระยะสุดท้ายของชีวิตเขา หนังสือเล่มแรกตีพิมพ์ขึ้นในปี คศ. 1771 มีชื่อว่า THE CABINETMAKER AND UPHOLSTERER’S DRAWING BOOK

เก้าอี้ของเชอราตัน มีแบบต่าง ๆ มากมาย งานทุกชิ้นมีความเด่นในเรื่อง เส้น การตกแต่งที่ดูเกลี้ยงเกลา และโครงเส้นที่มีความเหมาะสมสมดุล เส้นโค้งจะไม่ทำให้โครงของเก้าอี้ดูด้อยลงไป ในขณะเดียวกัน ส่วนค้ำยัน ส่วนข้อต่อ ได้รับการออกแบบให้เป็นไปตามประโยชน์ใช้สอยได้อย่างเหมาะเจาะ การตกแต่งที่นำมาประยุกต์ จะไม่ทำให้การใช้สอยหลากประโยชน์ต้องสูญหายไป

ขาเก้าอี้แบบเซาะร่อง ของเชอราตันที่เป็นแบบดั้งเดิม จะเรียวไปจนถึงปลายขา การตกแต่งโดยการแกะสลักจะทำเป็นลายนูนต่ำ และส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบ ใบอะคันธัส และดอกที่เป็นกระดิ่งเล็ก

อย่างไรก็ตาม รูปแบบเพรียว และเส้นโค้งที่ต่อเนื่องกันนั้น เป็นผลงานจากแรงบันดาลใจของเชอราตันจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ไม้ซาตินอย่างมากมาย ได้สร้างลักษณะที่เด่นและไม่เหมือนใคร ซึ่งทำให้งานของเขาต่างจากช่างทำเครื่องเรือนอื่น ๆ ที่มีมาก่อนหน้าเขา
(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 89)

เฮปเปิลไวท์ (HEPPLEWHITE)

เฮปเปิลไวท์ เป็นคำนิยามที่หมายถึงแบบเครื่องเรือน มากกว่าหมายถึงผลงานองบุคคลใดบุคคลหนึ่งเก้าอี้แบบเฮปเปิลไวท์ สามารถจำแนกได้จาก ความสง่างามและอ่อนช้อย โดยมีลักษณะเด่นที่น้ำหนักเบา ซึ่งลักษณะทั้งหมดนี้ เป็นคุณสมบัติของเก้าอี้ที่ดี เก้าอี้แบบเฮปเปิลไวท์ต่างจากแบบของชิปเพนเดล ซึ่งเน้นโครงสร้างที่มั่นคงและแข็งแรง แต่เก้าอี้ของเฮปเปิลไวท์จะมีลักษณะเบา และดูอ่อนช้อยจนถูกวิจารณ์ว่า โครงสร้างของเก้าอี้ชนิดนี้แตกหักและชำรุดง่าย (ปริโชติ ลิมปโชติ, 2532:29)

นักวิจารณ์ชี้ให้เห็นว่า เครื่องเรือนของเฮปเปิลไวท์ มีโครงสร้างที่ดีและสามารถรับน้ำหนักของคนคนเดียวได้ตั้งแต่สมัยเดิมจนถึงสมัยนี้พิงหลัง (SPLATS) จะติดกับที่นั่งเพื่อให้ดูแข็งแรงขึ้น แต่เฮปเปิลไวท์ได้ออกแบบพิงหลังเป็นเส้นโค้งและไม่ติดกับตัวเก้าอี้ โดยพิงหลังจะเชื่อต่อกับที่นั่ง ด้วยขอบข้างเก้าอี้ที่สูงเหนือที่นั่งขึ้นมา

เก้าแบบเฮปเปิลไวท์สังเกตได้ง่าย โดยดูจากพนักเก้าอี้รูปทรงแปลกตา พนักเหล่านี้จะประดับตกแต่งไว้ด้วยลายปลายข้าว ลายใบเฟิร์น และขนนก PRINCE OF WALES

ลายตกแต่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการออกแบบที่มีน้ำหนักเบา ทำให้เก้าของเฮปเปิลไวท์ ต่างจากเก้าอี้ของนักออกแบบคนอื่น ๆ ที่ผลิตขึ้นมาในสมัยเดียวกัน

การตกแต่งที่เฮปเปิลไวท์นิยมได้แก่ การเคลือบเงาแบบตะวันออก ลายระย้า วงกลม พนักเก้าอี้ของเขาส่วนใหญ่จะเป็นรูปรีหรือรูปกลม โดยมากจะตกแต่งด้วยลายขนนก หรือฟ่อนข้าวสาลีแห้ง ๆ

จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ได้กล่าวกันว่า เครื่องเรือนของเฮปเปิลไวท์ มีตั้งแต่ที่สง่างาม อ่อนช้อย ไปจนถึงแบบที่เรียบ ๆ และเป็นแบบพื้น ๆ ความแตกต่างนี้อาจอธิบายได้ โดยหลักความจริงที่ว่า เครื่องเรือนของเฮปเปิลไวท์ เป็นเหมือนกับโรงเรียนสอนช่างทำเครื่องเรือน ซึ่งได้รับความเจริญก้าวหน้ามาจากเฮปเปิลไวท์ ช่างฝีมือบางคนสามารถประดิษฐ์ผลงานที่เด่นและไม่เหมือนคนอื่น ในขณะที่บางคนอาจจะไม่มีความสามารถหรือจินตาการเลย(ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: )

สมัยจักรวรรดิ (EMPIRE)

ช่วงเวลาต่อเนื่อง จากการปฏิวัติฝรั่งเศส (THE FRENCH REVOLUTION) เป็นสมัยของการปกครองแบบกดขี่ ภายใต้การนำของพระเจ้านโปเลียน ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบการตกแต่งที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง พระองค์เป็นผู้บงการด้านแฟชัน นโยบายทั้งด้านสังคมและการปกครอง นอกจากนี้ ยังทรงนิยมความโอ่อ่า หรูหรา ของศิลปสมัยโรมัน อันเป็นแรงบันดาลใจไปสู่แนวคลาสิคใหม่ ในศิลปการตกแต่งต่าง ๆ


รูปแบบสมัยจักรวรรดิ กลับไปสู่ยุคคลาสิคในด้านการตกแต่ง เช่นเดียวกับในด้านโครงสร้าง เก้าอี้สมัยจักรวรรดิส่วนใหญ่ จะเป็นการตัดกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง โครงเก้าอี้ที่เป็นเส้นตรง และตัวหล่อที่เป็นทองเหลือง ตัวหล่อนี้จะแสดงแก่นเรื่องสมัยโบราณและมีรูปร่างแตกต่างกันไป เช่น เครื่องหมายฟาสซีสของโรมันโบราณ ธงแห่งอิสรภาพ (TROPHIES OF LANCES SURMOUNTED BY THE PHRYGAIN CAP OF LIBERTY) สัตว์ปีกที่ใช้เป็นเครื่องหมายแสดงอิสรภาพ และศีรษะนักรบสวมหมวกเหล็กสมัยโบราณ ที่จัดให้ดูเหมือนกับเหรียญที่มีภาพนูออกมาเมื่อนำมาใช้กับโครงที่เป็นไม้มะฮอกานีที่ทาสีไว้อย่างสวยงาม รูปหล่อ เหล่านี้จะดูเด่นขึ้นมา นอกจากนี้ก็มีการใช้ผ้าหุ้มเก้าอี้ที่เป็นสีน้ำเงินสด เขียว ม่วงและแดงอย่างมากมาย

ถึงแม้ว่า จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส แต่รูปแบบนี้ก็ขยายไปถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบวิคตอเรียนตอนต้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ควรระลึกไว้ว่า อังกฤษรับเอาแนวความคิดของสไตล์จักรวรรดินี้มาเพียงส่วนน้อย

เก้าอี้สมัยใหม่ (MODERN)

อารยธรรมจะสะท้อนออกมาในประวัติเครื่องเรือน ไม่มีเครื่องเรือนในบ้านชนิดใดที่จะเปลี่ยนแปลงตามสภาพในสังคม ได้มากเท่ากับ เก้าอี้ ที่นั่ง (SEATING) เป็นเครื่องเรือนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง รูปร่าง ลักษณะจากม้านั่งยาวที่สร้างแบบ ๆ มาเป็นบัลลังก์ (THRONE) และกลายเป็นเก้าอี้แบบง่าย ๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นผลมาจากแรงกดดันนานาประการที่มีอยู่ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์

เก้าอี้ในยุคปัจจุบันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า สะท้อนให้เห็นถึงทางเทคโนโลยี และวิถีทางของสังคมปัจจุบัน การที่นักออกแบบสามารถหาวัสดุและเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้ได้อย่างสะดวก ทำให้เก้าอี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกันออกไป แบบเก้าอี้ในยุคปัจจุบัน วิวัฒนาการมาจาก เก้าอี้ที่หลอมจากพลาสติกแบบประหยัด จนกลายเป็นเก้าอี้ที่มีโครงสร้างที่ให้ความสะดวกสบาย และหรูหรา แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ความเรียบง่าย บ่งบอกให้เห็นว่า นี้คือ เก้าอี้สมัยใหม่

ความก้าวหน้าในด้านการสื่อสาร และการคมนาคม ได้เป็นการจำกัดการพัฒนารูปแบบของชนพื้นบ้านซึ่งตรงข้ามกับชนรุ่นก่อน นักออกแบบเครื่องเรือนสมัยใหม่จะทำงานโดย ได้รับอิทธิพลจากทุกมุมโลก โดยไม่จำกัดขอบเขตจากอาณาเขต ของแต่ละประเทศแต่อย่างใด (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 135)



เก้าอี้รูปทรงแปลก (UNUSUAL CHAIR)

เก้าอี้ซึ่งเป็นเครื่องเรือนที่ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน ได้รับการออกแบบแปลก ๆ ได้มากมาย รูปแบบแปลก ๆ เหล่านี้ พัฒนามาจากเก้าอี้นั่งในส่วนแบบเรียบหลากชนิด
เก้าอี้โยกพับได้ (FOLDING ROCKER) ซึ่งเป็นเก้าอี้ในสภาพเตียงที่สามารถขยายให้ยาวออกไปเป็นที่นอนได้ นอกจากนี้ก็ยังมีเก้าอี้โยก เก้าอี้ที่เลียนแบบมาจากถังเยียร์ และอื่น ๆ เก้าอี้เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเก้าอี้รูปทรงแปลกต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย (ธีรวัลย์ วรรธโนทัย, 2537: 137)